ทักษะการเขียนของเด็กๆมีความสำคัญอย่างไรบ้าง

ในช่วงวัยเด็กการเลี้ยงดูลูกน้อยให้เติบโตอย่างสมวัย ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การดูแลสุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะพัฒนาการด้านการเขียน ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐานที่มีผลต่อการเรียนรู้ระยะยาวของเด็ก 

การเขียนไม่เพียงแต่เป็นการสื่อสาร แต่ยังช่วยพัฒนาความคิด การจัดลำดับความคิด การจดจำ และความสามารถในการแก้ปัญหา เด็กที่ได้รับการฝึกฝนทักษะการเขียนอย่างเหมาะสมตั้งแต่เล็ก มักจะมีแนวโน้มในการเรียนรู้ที่ดีขึ้นในชั้นเรียน และยังสามารถสื่อสารความรู้สึก ความคิด และจินตนาการของตนเองได้อย่างมั่นใจ

ทักษะการเขียนในวัยใด ที่เด็กๆควรเริ่มเขียนหนังสือได้แล้ว

โดยทั่วไปเด็กๆ จะเริ่มการเขียนอย่างจริงจังในช่วงอายุ 5-7 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่สมองเริ่มเชื่อมโยงการรับรู้ การสังเกต และการใช้กล้ามเนื้อได้อย่างสัมพันธ์กันมากขึ้น เด็กวัยนี้จึงสามารถเขียนชื่อตนเองเขียนตัวอักษร เริ่มเขียนคำง่ายๆ ได้

หากเด็กวัย 5-7 ปียังเขียนไม่ได้ อาจเกิดจากการที่กล้ามเนื้อมัดเล็กยังไม่แข็งแรงเพียงพอ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการจับดินสอ การควบคุมการเคลื่อนไหวมือ และการเขียนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เด็กวัยก่อน 5 ปี ยังไม่จำเป็นต้องเขียนหนังสือได้ อาจเพียงวาดรูป ขีดเขียนเส้นลีลามือ และควรได้รับการส่งเสริมกล้ามเนื้อมัดเล็กผ่านกิจกรรม เช่น การปั้นดินน้ำมัน การตัดแปะ การระบายสี การร้อยลูกปัด หรือการใช้คีมคีบของเล็กๆ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก และปูพื้นฐานการเขียนในอนาคต
 

แล้วหากลูกในวัยที่ควรเขียนได้ "มีปัญหาทางด้านการเขียน" ควรทำอย่างไร

หากลูกน้อยวัย 5-7 ปี ที่ควรเริ่มเขียนหนังสือได้แล้ว แต่กลับยังเขียนไม่คล่อง หรือเขียนได้ยาก อาจเป็นสัญญาณของความล่าช้าทางพัฒนาการในด้านหนึ่ง ซึ่งผู้ปกครองไม่ควรเพิกเฉย สิ่งสำคัญคือต้อง ไม่เปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น แต่ควรโฟกัสที่การสร้างพื้นฐานและทักษะอย่างเป็นขั้นตอน 
โดยสามารถเริ่มได้ง่ายๆ ที่บ้าน

แนวทางส่งเสริมทักษะการเขียนที่บ้าน เช่น ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กทุกวันพวกกิจกรรมที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมือและนิ้ว เช่น เล่นดินน้ำมัน ปั้น ตัด พับ ร้อยลูกปัด ใช้คีมคีบของ จัดกิจกรรมวาดเขียนหรือระบายสีเพื่อฝึกการหยิบจับดินสอ สีไม้ หรือปากกา ให้ถูกวิธี อาจใช้ pencil grip ช่วยจัดท่า

หากแม้พยายามฝึกที่บ้านอย่างต่อเนื่องแล้ว ลูกยังมีปัญหาในการจับดินสอ เขียนช้า เขียนแล้วมือเกร็ง หรือตัวหนังสือบิดเบี้ยวผิดปกติ ควรปรึกษานักกิจกรรมบำบัด เพื่อประเมินว่าเกิดจากปัจจัยใดที่ต้องได้รับการดูแลเฉพาะทาง
 

หากมีลูกน้อยที่ยังไม่ถึงวัยสำหรับการเขียน จะสามารถฝึกฝนหรือเตรียมพื้นฐานทักษะการเขียนเบื้องต้นได้อย่างไรบ้าง

การเตรียมพื้นฐานทักษะการเขียนสำหรับลูกน้อยที่ยังไม่ถึงวัยเขียน พ่อแม่สามารถวางรากฐานสำคัญให้เขาพร้อมต่อการเขียนในอนาคตได้ตั้งแต่วันนี้ ผ่านกิจกรรมง่ายๆ ที่แฝงด้วยทักษะสำคัญ

1. หัดให้ลูกรักได้ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก เพื่อเตรียมพร้อมทักษะการเขียนในอนาคต

ก่อนที่เด็กจะสามารถจับดินสอและเขียนหนังสือได้อย่างมั่นใจ เขาจำเป็นต้องมีกล้ามเนื้อมัดเล็กที่แข็งแรงและทนทานเสียก่อน กล้ามเนื้อมัดเล็กหมายถึงกล้ามเนื้อส่วนมือ นิ้ว และข้อมือ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการจับ การกด การลากเส้น และการเคลื่อนไหวที่แม่นยำ ผู้ปกครองสามารถช่วยพัฒนาทักษะนี้ให้ลูกได้ง่ายๆ จากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ปั้นดินน้ำมัน หรือแป้งโดว์ให้เป็นรูปต่างๆ ใช้กรรไกรเด็กตัดกระดาษลายเส้น ร้อยลูกปัด ร้อยเชือก หรือร้อยกระดุม ใช้คีมหนีบจับของเล่นเล็กๆ จับแปรงสีฟัน หมุนน็อต หรือเปิด/ปิดฝาขวด ระบายสี หรือวาดภาพอิสระด้วยนิ้วมือ กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้มือของลูกมีแรง และควบคุมการเคลื่อนไหวได้แม่นยำขึ้น เมื่อลูกถึงวัยที่เหมาะสม เขาจะสามารถจับดินสอได้อย่างถูกวิธี และพัฒนาทักษะการเขียนได้เร็วขึ้นโดยไม่รู้สึกต่อต้านหรือเหนื่อยล้า 

2. ให้ลูกได้ลองจับดินสอ สีเทียน เป็นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ไปในตัว

การให้เด็กได้ลองจับดินสอ สีเทียน หรือพู่กันตั้งแต่วัยก่อนอนุบาล ไม่เพียงแต่ช่วยเตรียมความพร้อมด้านการเขียน แต่ยังส่งเสริม ความคิดสร้างสรรค์ และการแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ กิจกรรมวาดภาพและระบายสีช่วยให้เด็กได้ฝึก การควบคุมมือและนิ้ว ในการจับและเคลื่อนไหวเครื่องเขียน เรียนรู้การเลือกใช้สี รูปทรง และลวดลายต่างๆ ได้ใช้จินตนาการในการสร้างเรื่องราวผ่านภาพวาด กล้าคิด กล้าทำ และภูมิใจในผลงานของตนเอง ในช่วงแรก ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเน้นความสวยงาม ของภาพ แต่ควรให้ลูก ลองวาด ลองจับ ลองขีดเขียน อย่างอิสระ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี และช่วยให้เขาคุ้นเคยกับการใช้มือในการสื่อสาร

3. สร้างความคุ้นเคยกับ ตัวอักษร และภาษา เพื่อเตรียมพร้อมทักษะการเขียน

ก่อนที่เด็กจะสามารถเขียนคำหรือประโยคได้ เด็กควรเริ่มต้นจากความคุ้นเคยกับตัวอักษรและภาษา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของทักษะการเขียน โดยเฉพาะในวัยก่อนเข้าโรงเรียน การปลูกฝังสิ่งเหล่านี้สามารถทำได้ง่ายๆ ผ่านกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น อ่านหนังสือภาพให้ลูกฟังเป็นประจำ พร้อมชี้ตามตัวอักษรไปด้วย เพื่อให้เด็กเริ่มเชื่อมโยงเสียงกับรูปตัวอักษร เล่นเกมตัวอักษร เช่น ต่อบล็อก A-Z พาไปรู้จักตัวอักษรตามป้ายต่างๆ ในบ้านหรือข้างทาง ร้องเพลง ABC หรือเพลงคำคล้องจอง เพื่อให้เด็กจดจำเสียงและจังหวะของภาษา ทำกิจกรรมจับคู่ภาพกับคำ เช่น ภาพ "ปลา" กับคำว่า "ปลา" เพื่อฝึกการเชื่อมโยงระหว่างคำกับความหมาย 

ทักษะการเขียนเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อม เพื่อการเรียนรู้ในอนาคตอย่างสมวัย

ทักษะการเขียน ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเด็กเข้าสู่วัยเรียน แต่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการพัฒนาทางร่างกาย สมอง และจิตใจที่ค่อยๆ สะสมมาตั้งแต่ยังเล็ก หากเด็กไม่ได้รับการฝึกฝนหรือเตรียมความพร้อมที่เหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้เมื่อต้องเริ่มเขียนจริงจังในชั้นเรียน เพราะการเขียนคือ ทักษะซับซ้อนที่ต้องอาศัย กล้ามเนื้อมือและนิ้วที่แข็งแรง สหสัมพันธ์ของตาและมือ ความเข้าใจในตัวอักษร ภาษา และสมาธิ

ดังนั้นผู้ปกครองควรส่งเสริมทักษะพื้นฐานเหล่านี้อย่างเหมาะสมตามวัย ผ่านกิจกรรมง่ายๆ ที่บ้าน เช่น การเล่น การวาด การเล่านิทาน และการฝึกกล้ามเนื้อมือแบบสนุกๆ เพื่อให้เมื่อลูกถึงวัย 57 ปี เขาจะพร้อมรับมือกับการเขียนได้อย่างมั่นใจ และก้าวสู่การเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ

หากลูกน้อยที่ถึงวัยที่ควรเขียนได้ และคุณพ่อคุณพ่อกำลังกังวลเกี่ยวกับทักษะการเขียน ติดต่อ Kids Plus เพื่อรับคำแนะนำอย่างถูกต้อง

หากลูกน้อยถึงวัยที่ควรเขียนได้ แต่ยังมีปัญหาในการเขียนและคุณพ่อคุณแม่กำลังกังวลใจเกี่ยวกับพัฒนาการในด้านนี้ อย่ารอจนลูกเสียความมั่นใจการเขียนคือทักษะสำคัญที่เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ระยะยาว

Kids Plus มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย พร้อมให้คำแนะนำอย่างถูกต้อง เพื่อให้การเลี้ยงดูลูกน้อยเป็นเรื่องที่มั่นใจและไม่ต้องกังวลเมื่อลูกเผชิญกับความท้าทายด้านการเรียนรู้

Kids Plus มีทีมงานและคุณครูที่พร้อมช่วยเสริมทักษะที่สมวัยให้กับเด็กๆ 

เพราะเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน บางคนอาจพูดช้ากว่าเพื่อน บางคนยังไม่กล้าจับดินสอ หรืออาจยังไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในใจของคุณพ่อคุณแม่ก็อาจมีความกังวลซ่อนอยู่เสมอ

ที่ Kids Plus เราเข้าใจดีว่าการเลี้ยงดูลูกน้อยให้เติบโตอย่างมั่นใจต้องอาศัยทั้งความเข้าใจในตัวเด็ก และการสนับสนุนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย หากคุณกำลังสงสัยหรือตั้งคำถามกับพัฒนาการของลูก

เรายินดีให้คำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก พร้อมคอร์สที่ออกแบบเฉพาะบุคคล เพื่อช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้อย่างสนุก และเติบโตในแบบของตัวเองอย่างมั่นใจ